loading...
“หนูอยากตาย เรื่องจะได้จบ...” นักศึกษาสาววัย 20 ปี เหยื่อถูกหลอกขายกล้องกล่าวเสียงเครือ พร้อมยกนิ้วขึ้นเกลี่ยนํ้าตาที่กำลังไหลอาบอยู่เต็มแก้ม...
จากหญิงสาววัยใส เรียนเก่ง และคิดบวก แปรเปลี่ยนเป็นคนอมทุกข์ ท้อแท้ และสิ้นหวัง ทุกๆ วันของเธอที่เคยมีแต่รอยยิ้ม กลับกลายเป็นคราบน้ำตาที่ไม่รู้ว่าจะหยุดไหลเมื่อใด เธอคนนี้ คือ มายด์ นักศึกษาสาวหัวใจบริสุทธิ์ที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินสูงถึง 1.5 ล้านบาท หนี้หลักล้านที่ได้มาเพราะน้ำมือของใครบางคน...
ภายหลังจากที่ เจ๊ดำ ได้ข่าวแว่วๆ เกี่ยวกับการต้มตุ๋นหลอกขายกล้องฟรุ้งฟริ้ง มูลค่าความเสียหายสูงถึงหลักสิบล้าน ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ก็ยังเป็นนักเรียนนักศึกษาที่อยากหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่น้องๆ เด็กๆ เหล่านี้กลับถูกมิจฉาชีพหักหลังจนเดือดร้อน และมีคดีติดตัว ด้วยเหตุนี้ เจ๊ดำจึงไม่รอช้า เข้าไปเจรจาถามไถ่ทันที...
จากหญิงสาววัยใส เรียนเก่ง และคิดบวก แปรเปลี่ยนเป็นคนอมทุกข์ ท้อแท้ และสิ้นหวัง
น่าเชื่อถือ รีวิวเพียบ! เหยื่อล่อนักศึกษาติดกับ
เจ๊ดำ มีโอกาสได้พูดคุยกับ น้องมายด์ (ไม่สามารถระบุชื่อ-สกุลเต็มได้ เหตุติดเงื่อนไขทางกฎหมาย) เธอถ่ายทอดความทุกข์ให้เจ๊ฟังอย่างหมดเปลือกว่า “หนูมีโอกาสได้ไปเจอ Instagram ของร้านขายกล้องราคาถูก ถูกชนิดที่ว่า จากราคากล้อง Fuji X-A2 19,000 บาท ร้านนี้เขาเอามาลดราคาเหลือ 15,000 บาท หรือบางครั้งมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาเหลือเพียงแค่ 13,700 บาทเท่านั้น โดยที่เขาอ้างว่า เขาซื้อได้ในราคาถูกได้ เพราะมีคนรู้จักอยู่ในโรงงานผลิต”
“ทีนี้หนูก็เข้าไปดูภาพที่ลูกค้าแท็กมาหาร้าน ปรากฏว่า ลูกค้าของร้านนี้ก็ค่อนข้างเยอะ และลูกค้าทุกคนก็ได้รับกล้องจริงๆ จากจุดนี้จึงทำให้ความน่าเชื่อถือที่หนูมีต่อร้านเพิ่มมากขึ้น และจุดที่ทำให้หนูเชื่อเขาจริงๆ ก็คือ เขาโพสต์ภาพบัตรประชาชนของตัวเอง โพสต์บอกที่อยู่ โพสต์บอกสถานที่ตั้งของออฟฟิศของเขาเอง ซึ่งจุดนี้ทำให้หนูเชื่อมั่นว่า เขามีตัวตนจริงๆ และเราตามหาตัวเขาได้แน่นอน” น้องมายด์ ย้อนเล่าถึงวันแรกพบ
มายด์ นักศึกษาสาวหัวใจบริสุทธิ์ที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินสูงถึง 1.5 ล้านบาท
จากนั้น มายด์ นักศึกษาสาว จึงตัดสินใจสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายกับทางร้าน โดยเสียค่าสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายแบบ VIP เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,000 บาท ซึ่งตัวแทนในรูปแบบดังกล่าว จะได้รับอภิสิทธิ์พิเศษจากทางร้าน คือ สามารถนำภาพรีวิวของทางร้านไปใช้โฆษณาในช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กของตนเองได้ และตัวแทนจำหน่ายแบบ VIP จะได้กำไรมากกว่าตัวแทนปกติ 1 เท่าตัว
“หนูซื้อขายกล้องกับเขามาหลายต่อหลายรอบ หลายต่อหลายเดือน หนูได้กล้องจากเขามาขายให้ลูกค้าทุกรอบ รวมเป็นตัวกล้องทั้งหมด 35 กล้อง แต่พอเข้ารอบที่ 10 ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น จากที่ลูกค้าต้องรอกล้อง 1 เดือน กลายเป็นรอนานมากขึ้นๆ ทุกที โดยเจ้าของร้านกล้องอ้างเหตุผลสารพัดว่า โรงงานผลิตมีปัญหา, สินค้าติดปัญหาควบคุมคุณภาพ, แผ่นดินไหว หรือแม้กระทั่งเคยหลอกว่า สินค้ามาถึงสนามบินแล้วก็มี แต่สรุปสุดท้าย คือ รอบที่ 10, 10.1, 11, 12 และรอบหั่นราคา (กล้อง Fuji X-A2 ลดราคาเหลือเพียง 12,990 บ.) รวมทั้งหมด 5 รอบ ไม่มีใครได้กล้องเลย นับมูลค่าความเสียหายเฉพาะของหนูคนเดียว 1,510,100 บาท กล้อง 114 กล้อง แต่ถ้ารวมทุกราย คือ 539 ราย ไม่ได้กล้อง 720 กล้อง เป็นจำนวนเงินกว่า 10 ล้าน” มายด์ นักศึกษาสาว จดจำทุกเรื่องราวระหว่างเธอและแม่ค้าตัวแสบได้ดี
รอบ 10 เป็นรอบแรกที่ลูกค้าไม่ได้กล้อง รอบนี้มีการแถม ZR50 ด้วย
หลอกให้โอนตังค์ ตลบหลังไม่ส่งของ!
ก่อนหน้านี้ ไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่า ทำไมกล้อง Fuji X-A2 ของร้านนี้มีราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก? เจ๊ดำถามเด็กสาวตรงหน้า ซึ่งเธอได้ตอบกลับมาว่า “หนูเริ่มรู้สึกสงสัยตอนรอบการสั่งสินค้ารอบที่ 6 เพราะรอบนั้นมีการลดราคากล้อง Fuji X-A2 ลงมาจนเหลืออยู่ที่ 18,900 บาท แต่ราคานี้จะได้รับของแถมเป็นกล้องฟรุ้งฟริ้ง Casio ZR50 ซึ่งโปรโมชั่นนี้ เหมือนการให้กล้อง Casio ZR50 ฟรีๆ ไปเลย เพราะราคากล้อง Fuji X-A2 ตามท้องตลาดทั่วไป ก็จะอยู่ในราคา 18,900 บาทอยู่แล้ว”
มายด์ เล่าเรื่องราวสุดเจ็บช้ำอีกว่า “ในรอบที่มีปัญหา หนูสั่งกล้องให้ลูกค้า โดยโอนเงินไปให้เจ้าของร้านตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.59 เพราะฉะนั้น หนูจะต้องได้สินค้าช่วงกลางเดือนเมษายน แต่ผ่านกลางเดือนเมษายนไปก็แล้ว ผ่านพฤษภาคมไปก็แล้ว จนเข้าช่วงปลายเดือนมิถุนายน มายด์ ลูกค้า และตัวแทนคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้กล้องอยู่ดี แล้วในช่วงที่ระยะเวลาส่งของเกินกำหนด หนูเครียดมากๆ เพราะลูกค้าของหนูเกือบร้อยคน แชตมาทวงกล้อง โทรมาทวงกล้อง และเมื่อเราอธิบายเหตุผลให้ลูกค้าได้ทราบ บางคนเขาก็เข้าใจ แต่จะมีบางคนที่ไม่เข้าใจ เขาก็จะด่า ข่มขู่ เสาะหาที่อยู่ เสาะหาชื่อมหาวิทยาลัยที่หนูเรียน หรือบางคนไปแจ้งความดำเนินคดีกับหนูก็มี”
loading...
รอบ 10.1 ลดแลกแจกแถมสุดๆ
รอบ 12 กับโปรโมชั่นแสนดุ
น้ำตาของเธอเริ่มไหล เธอพยายามพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตอนนั้นหนูเครียดมากๆ คิดหาทางออกสารพัดวิธี แต่ด้วยตัวเงินมันสูงถึง 1.5 ล้านบาท เงินจำนวนนี้มันมากเกินไปสำหรับเด็กที่ยังเรียนไม่จบ มันมากเกินไปสำหรับเด็กที่ยังไม่มีรายได้ มันเป็นภาระให้กับพ่อและแม่ของหนูมากๆ ทุกๆ นาทีหนูคิดหาวิธีมาชดใช้เงินแทนเจ้าของร้าน จนคิดได้วิธีหนึ่งคือ เอาเงินเก็บค่าขนมตั้งแต่อนุบาลมาจ่ายไปให้ก่อน 214,310 บาท แต่มันก็ยังเหลืออีก 1.3 ล้าน”
น้องมายด์ ได้นำเงินเก็บค่าขนมตั้งแต่อนุบาลมาจ่ายไปให้
สุดทางตัน! ฆ่าตัวตาย คือ จบปัญหา?
“จนสุดท้าย หนูเริ่มรู้สึกว่า หนูไม่สามารถคิดหาทางออกได้แล้ว ทุกอย่างมันเดินมาถึงทางตัน เส้นทางข้างหน้ามันไปต่อไม่ได้ วินาทีนั้นหนูคิดได้อย่างเดียว คือ ตาย ถ้าหนูตายเรื่องจะได้จบ หนูนั่งทบทวน และนึกถึงอนาคตข้างหน้า จนสุดท้ายเราคิดได้ว่า ถ้าเราตาย เรื่องก็ไม่ได้จบ พ่อกับแม่ก็จะต้องมานั่งเสียใจ และยังต้องแบกรับภาระแทนเราอีกด้วย” หลังจากสิ้นสุดประโยคนี้ เสียงร้องไห้ของมายด์ และแม่ของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกัน
ผู้เป็นแม่หันมองลูกสาว ด้วยดวงตาแดงก่ำที่เปี่ยมล้นไปด้วยน้ำตา พร้อมพูดว่า “แม่เสียใจมากที่ไม่สามารถปกป้องลูกได้ หากเปลี่ยนมาเป็นแม่ที่ต้องเดือดร้อน เปลี่ยนมาเป็นแม่ที่โดนปองร้าย เปลี่ยนมาเป็นแม่ที่มีคดีความ ถ้าเปลี่ยนทุกอย่างที่มายด์โดนมาเป็นแม่ได้ก็คงจะดี ตลอดทั้งชีวิตของมายด์ ไม่เคยทำให้แม่เสียใจเลย น้องเรียนดี เป็นเด็กดี น้องพยายามหาเงินมาช่วยที่บ้าน แต่ทำไมคุณคนนั้นต้องมาทำร้ายลูกของแม่แบบนี้ด้วย”
ลูกเจ็บ แม่เจ็บกว่า
ล่าสุด ทางน้องมายด์ และผู้เสียหายรายอื่นๆ รวม 539 ราย ได้เข้าแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจท้องที่ และกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท. ได้ประสานงานให้ผู้ต้องหาและผู้เสียหาย เข้าพูดคุยเจรจาไกล่เกลี่ย จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ผู้ต้องหาจะชดใช้เงินก้อนแรกให้แก่ผู้เสียหายทุกคนในวันที่ 16 ก.ค.59 รวมเป็นเงิน 2,500,000 บาท แต่เมื่อถึงกำหนดวันที่ 16 ก.ค. ทางผู้ต้องหากลับชดใช้เงินมาเพียงแค่ 300,000 บาท และเมื่อนำมาแบ่งให้แก่ผู้เสียหายทุกราย ปรากฏว่า ผู้เสียหายจะได้เงินคืนคนละ 400 กว่าบาทเท่านั้น
loading...
"...วินาทีนั้นหนูคิดได้อย่างเดียว คือ ตาย..." มายด์ถ่ายทอดความทุกข์
สบช่องหมุนเงิน! ซื้อราคาแพง ปล่อยราคาถูก สุดท้ายทางตัน
เจ๊ดำ สอบถามความคืบหน้าของคดีไปทาง พ.ต.ท.วัชรพันธ์ ศิริพากย์ รอง ผกก.2 บก.ปอท. ได้ความว่า การกระทำของร้านขายกล้องฟรุ้งฟริ้งนั้น มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14(1) ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
“จากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหาไปซื้อกล้องตามร้านขายกล้องทั่วไป ในราคาปกติ 18,900 บาท แต่กลับนำมาขายในราคาถูกเพียงแค่ 14,000 บาท ที่ผู้ต้องหาทำอย่างนี้ก็เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับกลุ่มลูกค้า สร้างการรีวิว สร้างความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญสร้างเงินสด จากนั้น ผู้ต้องหาก็จะจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้าทุกคน แต่จะเป็นเพียงช่วงแรกๆ เท่านั้นที่ลูกค้าจะได้ของ เพราะเงินค่ากล้องที่ลูกค้าโอนให้ผู้ต้องหาในแต่ละรอบ ผู้ต้องหากลับนำไปใช้จ่าย และนำไปใช้หนี้นอกระบบ โดยผู้ต้องหาทำพฤติกรรมเช่นนี้วนเวียนกันหลายๆ รอบ จนท้ายที่สุดก็ไม่มีเงินไปซื้อกล้องให้ลูกค้าได้อีก เสมือนการเอาเหยื่อเล็กล่อปลาใหญ่” พ.ต.ท.วัชรพันธ์ กล่าวถึงวิธีการหมุนเงินของผู้ต้องหา
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.วัชรพันธ์ ได้กล่าวเตือนผู้บริโภคไว้ว่า “เมื่อเห็นสินค้าราคาถูก อย่ารีบเชื่อ อย่ารีบโอนเงินให้ แม้ว่าคุณจะพิจารณาจากรีวิวต่างๆ พิจารณาจากการเปิดเผยตัวตนด้วยสำเนาบัตรประชาชน จนแน่ใจแล้วว่าน่าเชื่อถือ แต่คุณอย่าลืมว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้มิจฉาชีพสามารถปั้นแต่งขึ้นได้”
กล้องฟรุ้งฟริ้ง กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น
ทนายเจมส์ แนะเก็บหลักฐานอันเป็นประโยชน์ เตือนอย่าดูแค่รีวิว
นายนิติธร แก้วโต หรือ “ทนายเจมส์” ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์แก่ผู้เสียหายจากคดีดังกล่าวว่า ผู้เสียหายหรือตัวแทนทุกคนควรแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการฉ้อโกง โดยเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจ เพื่อตัดความเป็นตัวการร่วม และควรเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ ดังต่อไปนี้ มอบให้พนักงานสอบสวน 1.หลักฐานการสมัครเป็นตัวแทน เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายกระทำตามข้อกำหนดที่ทางผู้ต้องหาวางแผนไว้ เช่น ใบเสร็จการโอนเงินชำระค่าสมัครตัวแทนของร้าน
2.ผู้เสียหายต้องเสาะหาตัวผู้ที่เคยสั่งซื้อกล้องกับผู้เสียหายแล้วได้สินค้าครบถ้วนมาเป็นพยาน 3.หลักฐานที่เป็นประวัติการโอนเงินไปให้ผู้ต้องหาครั้งเก่าๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาและผู้เสียหายค้าขายจนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ และ 4.หลักฐานการโอนเงินไปให้ผู้ต้องหาในครั้งที่ 10 (ครั้งที่มีปัญหาไม่ได้รับกล้อง)
แม่ อยู่เคียงข้างลูกเสมอ แม้วันนั้นจะเป็นวันที่ลูกสุข หรือ ทุกข์ก็ตาม
สุดท้าย ทนายเจมส์ ได้ฝากข้อคิดเตือนใจผ่านเจ๊ดำมาว่า “สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสั่งซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต อย่าพิจารณาแค่ราคาที่ล่อตาล่อใจ อย่าเห็นแต่ของถูก อย่าดูแต่รีวิว เพราะร้านค้าที่มีหน้าร้านชัดเจนก็ยังกล้าโกง ดังนั้น ก่อนคุณจะตัดสินใจซื้อสินค้าใดๆ ก็ตาม คุณควรหาข้อมูลของร้านนั้นๆ ให้ดีเสียก่อน แต่ไม่ใช่ดูแค่รีวิวที่อยู่ในหน้าเพจร้าน แต่คุณควรเสาะหาข้อมูลของร้าน ด้วยการค้นหาจากกูเกิล เพราะในเว็บไซต์ หรือกระทู้ต่างๆ คือการใช้สินค้าจริง ไม่ใช่เพียงแค่การโฆษณารีวิว”
เห็นป้ายลดราคา เหมือนโดนป้ายยา ทำให้หลง
สินค้าถูกลง รีวงรีวิว น่าเชื่อถือ
แต่สำคัญคือ ลวงปั่นสวยหรู ชูคำแสนล้ำ
เจ๊ดำขอเตือน อย่าเลือนหลงช้ำ จงใช้สติ!
เจ๊ดำ
loading...
ที่มา:http://www.thairath.co.th/content/691983